ก่อนที่เราจะเขียนโปรแกรมเราจะมาทำความรู้จักกับ
java ซักนิดนะครับ java เป็นภาษาถูกพัฒนาโดยบริษัท Sun
Microsystems ก่อนที่จะมาเป็นภาษา
java นั้นเดิมทีเป็นภาษาที่ชื่อว่า ภาษา Oak
ซึ่งทีมงานของบริษัทได้ทำขึ้นมาเพื่อควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้าขนาดเล็กและได้พัฒนา
ต่อมาเรื่อยๆ
จนเปลี่ยนชื่อมาเป็น java ภาษา java ,มีจุดเด่นอีกอย่างหนึ่ง คือ
เราสามารถเขียนโปรแกรมในครั้งเดียวแต่นำไปใช้งานกับคอมพิวเตอร์ได้ทุก
platform ทำให้ง่ายต่อการใช้งาน ภาษา java
ภาษาหนึ่งที่มีการทำงานในลักษณะของ
OOP (Objet-Oriented Programming) หรือ เรียกเป็นภาษาไทยว่า
“การเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุ”
โดยจะเป็นวิธีการพัฒนาการจัดระเบียบการเขียนโปรแกรมอีกรูปแบบหนึ่ง
ที่มีองค์ประกอบต่างๆ
ให้เป็นวัตถุ (Object) โดยวัตถุก็จะมีวิธีการ (Method) ซึ่ง Object
ใดๆ จะดำเนินการได้จะต้องมีสิ่งที่เรียกว่าต้นแบบ
(Class) กำหนดเอาไว้ด้วย เอาล่ะครับมีคำศัพท์เข้ามาแล้ว คำศัพท์ 3
คำเหล่านี้เราจะใช้ในโอกาสต่อไปแน่นอนครับเราจะมาทำความรู้จักกับคำศัพท์
3 คำนี้กันเลยครับ
|
|||||
Object
Opject หรือ วัตถุ หมายถึง สิ่งที่มีตัวตนและนำไปใช้ในการประมวลผลข้อมูล โดยใน Object จะต้องมีข้อมูลที่ใช้ในการอธิบายตนเองและการกระทำต่างๆ (Ation)ที่ Object สามารถกระทำได้ใน java นั้น Object จะถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเลียนแบบการกระทำที่อยู่ใน Class ต้นแบบ |
|||||
Class Class หมายถึง ตัวแบบ (Template) ที่นำไปใช้ในการสร้าง Object โดย Class จะประกอบไปด้วยลักษณะเฉพาะของ Data พร้อมทั้งรายละเอียดของ Action และ Method ซึ่งสามารถนำไปใช้งานได้โดยการสร้าง Object ขึ้นมาเพื่อดึงความสามารถที่อยู่ใน Class ไปใช้งาน |
|||||
Method Method หมายถึง ระเบียบวิธีในการทำงานของงานใดงานหนึ่ง ซึ่งจะถูกกำหนดไว้ใน Class จะเป็นการกระทำต่างๆ มี่จะให้ Object ดำเนินการ |
|||||
เอาล่ะครับ สำหรับผู้เริ่มต้นอย่าเพิ่งทำหน้างงนะครับว่าผมกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่
ที่ผมกล่าวมาข้างต้นนั้นเป็นสิ่งที่้ท่านจะต้องทำความเข้าใจกับมันให้ได้
เพราะเป็นภาพรวมของการเขียนโปรแกรม java ซึ่งภาษานี้จะมีวิธีการเขียนไม่เหมือนภาษาคอมพิวเตอร์รุ่นเก่าๆ
เราต้องมา "คิดใหม่ ทำใหม่" กันครับ (สโลแกนคุ้นๆ) ผมจะยกตัวอย่างที่เห็นได้ชัดในชีวิตประจำวันของเราเพื่ออธิบายคำศัพท์
3 คำข้างต้นให้เข้าใจมากยิ่งขึ้นนะครับ เอาเป็นว่าถ้าเราจะทอดไข่เจียวซัก
1 ฟอง ทานกับข้าวสวยร้อนๆ เราจะมีวิธีการอย่างไร (หิวเลย)
|
|||||
1. ตอกไข่ใส่ถ้วย 2. ใส่น้ำปลาเล็กน้อย 3. ตีไข่ 4. เปิดเตาแก๊ส 5. ตั้งกระทะ 6. ใส่น้ำมัน 7. ทอดไข่ 8. นำใส่จานเสริฟพร้อมข้าวสวยร้อนๆ |
|||||
8 ขั้นตอนข้างต้นเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นในการทอดไข่เจียว ผมจะเรียกการกระทำเหล่านี้ว่า Method สิ่งต่อไปเรามาดูว่าใครเป็นคนกระทำ 8 ขั้นตอนเหล่านี้ ซึ่งก็ คือ ตัวเรานั้นเอง ผมให้ตัวคนทอดเป็น Object และสุดท้ายภาพรวมของการทอดไข่เจียวนั้นผมให้เป็น Class เราจะตั้งชื่อว่า "คลาสการทอดไข่เจียว" ดูแผนภาพต่อไปนี้ครับ | |||||
|
|||||
จะเห็นว่าภายใน Class
จะมี Method(วิธีการทอดไข่) ต่างๆ อยู่เพื่อเป็นต้นแบบให้กับ Object ซึ่งก็คือ
ตัวคุณ โดย Method แต่ละตัวนั้นจะเป็นอิสระต่อกัน คุณลองนึกดูว่าแต่ละคนมีวิธีการทอดไข่ไม่เหมือนกัน
ซึ่งจะทำขั้นตอนใดก่อนก็ได้ให้เหมาะสม บางคนอาจจะตีไข่เสร็จแล้วค่อยใส่น้ำปลา
บางคนบอกตั้งกระทะก่อนค่อยตีไข่ก็ได้ แต่สุดท้ายก็ได้ผลลัพธ์เดียวกันคือ
"ไข่เจียว"
|
|||||
บางคนเริ่มรู้สึกว่าผมมาสอนทำไข่
เจียวเหรอ
มันเกี่ยวอะไรกับการเขียนโปรแกรมด้วย
ที่ผมยกตัวอย่างไข่เจียวเพื่อให้คุณมองเห็นภาพครับ
เพราะการเขียนโปรแกรมแบบ OOP มีข้อดีก็ตรงนี้แหละครับ
คุณลองนึกดูว่าถ้าวันนึงมีคนมาบอกคุณว่าเขามีวิธีการทอดไข่เจียวที่เด็ดกว่า
อร่อยกว่า แต่เขามีวิธีการทอดคล้ายๆ กับของเรานั่นแหละ
เขาสามารถใช้ Class
"การทอดไข่เจียว" ของเราไปดัดแปลงได้เลยครับ เขาอาจจะเพิ่ม Method
บางส่วนลงไปใหม่ หรือแก้ไขบาง Method
นิดหน่อยก็สามารถทำให้ไข่เจียวของเราอร่อยกว่าเดิมได้แล้ว
โดยที่เขาไม่ต้องมานั่งไล่วิธีทำใหม่ตั้งแต่ต้น
เช่นเดียวกับการเขียนโปรแกรมถ้าเป็นโปรแกรมที่มีขนาดใหญ่แล้วโปรแกรมนี้ถูก
เขียนแบบ
OOP เรา็สามารถแก้ไขโปรแกรมหรือพัฒนาโปรแกรมในภายหลังต่อได้โดยง่าย
เพราะโปรแกรมถูกจัดให้เป็นสัดส่วนไว้แล้ว |
|||||
ปัจจุบันเราสามารถแบ่งโปรแกรมจาวาออกได้หลายชนิด
ได้แก่ 1. Java 2 Enterprise Edition (J2EE) ใช้พัฒนาแอพพลิเคชั่นบนเครื่องเซิร์ฟเวอร์ 2. Java 2 Standard Edition (J2SE) ใช้พัฒนาแอพพลิเคชั่นบนเครื่อง PC ทั่วไป 3. Java 2 Micro Edition (J2ME) ใช้พัฒนาแอพพลิเคชั่นบนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็ก (เช่น โทรศัพท์มือถือ) แต่ที่นิยมนำมาศึกษาในขั้นต้นก็คือ Java 2 Standard Edition (J2SE) ซึ่งเป็นการนำ Java มาเขียนเป็นโปรแกรมที่สามารถนำมาใช้งานได้อย่างอิสระ (StandAlone Program) เหมือนกับการเขียนโปรแกรมภาษาระดับสูงอื่นๆ เช่น C++ ,Pascal ,Cobol การแปลโปรแกรมของ Java ในการโปรแกรมภาษา Java หลังจากที่เราเขียน source code ขึ้นมาแล้วจะทำการรันโปรแกรมเพื่อดูผล Java จะมีวิธีการทำงานดังนี้ |
|||||
เอาล่ะครับมาถึงจุดนี้แล้ว คงจะพอมองเห็นภาพรวมของการเขียนโปรแกรมแบบ OOP ออกกันบ้างนะครับ ใครที่ยังงงอยู่ก็ไม่ต้องตกใจครับ ให้ท่านติดตามบทความไปเรื่อยๆ แล้วท่านจะเข้าใจไปเองโดยอัตโนมัติเมื่อไ้ด้ลองลงมือทำดู ในปัจจุบันการเขียนโปรแกรมแบบ OOP ได้มีใช้เกือบทุกภาษาแล้วครับแม้แต่ภาษา C เองก็ยังเปลี่ยนมาให้เขียนแบบ OOP เลยครับ เห็นไหมครับว่าเราต้องเรียนรู้มันอย่างเลี่ยงไม่ได้ซะแล้ว สำหรับบทความบทแรกนี้ก็คงเป็นการพูดคุยทำความรู้จักกับคนเขียนเองและความหมายของการเขียนโปรแกรมแบบ OOP กัน ใครมีข้อสงสัยใดก็โพสทิ้งไว้ที่เวบบอร์ดของเราได้เลยนะครับ ผมจะตามไปตอบให้ หรือถ้าใครมีความคิดเห็น แนะนำหรือติชม ผมก็ยินดีน้อมรับไว้ครับ ถ้าในบทความมีข้อผิดพลาดประการใด ผมก็อภัยไว้ด้วยนะครับ สำหรับบทความแรกคงจบลงเพียงเท่านี้ ติดตามตอนต่อไปได้เลยครับ ... |
วันอาทิตย์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2557
มาทำความรู้จักกับ java
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น